Engoo บล็อก เทคนิคภาษาอังกฤษ

10 สำนวนอังกฤษน่าใช้ ที่ทำให้ดูเหมือนเป็นเจ้าของภาษา

10 สำนวนอังกฤษน่าใช้ ที่ทำให้ดูเหมือนเป็นเจ้าของภาษา

เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า หนึ่งในวิธีที่จะทำให้เราใช้ภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษา คือการรู้จักใช้สำนวนต่างๆ เปรียบเทียบเหมือนกับคำว่า ดอกไม้ริมทาง ที่ไม่ได้แปลว่า ดอกไม้ที่อยู่ริมทางจริงๆ แต่หมายถึง สิ่งหรือคนที่ไม่ได้มีความสำคัญกับใคร เป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น ดังนั้นเรามาดู 10 สำนวนที่ทำให้เราดูเหมือนเจ้าของภาษากันดีกว่า

 

1. (To) Hit the books

สำนวนนี้ไม่ได้หมายถึง ตีหนังสือ หรือถูกหนังสือตี (หัว) แต่อย่างใด เพราะสำนวนนี้ หมายถึงการเรียนหนักหรือท่องหนังสือสอบอย่างหนัก เช่น

“Sorry but I can’t watch the game with you tonight, I have to hit the books. I have a huge exam next week!”

ขอโทษด้วยนะ แต่ฉันดูเกม(ฟุตบอล)คืนนี้กับนายไม่ได้จริงๆ ฉันต้องท่องหนังสืออย่างหนัก เพราะฉันมีสอบครั้งใหญ่อาทิตย์หน้า!

 

2. (To) Twist someone’s arm

อย่าคิดว่าเป็นการบิดแขนใครเข้าจริงๆ โดยสำนวนนี้ ถ้ารูปประโยคเป็น คนอื่นมา “บิดแขน” เรา จะหมายถึง คนๆ นั้นประสบความสำเร็จในการโน้มน้ามเราให้ทำสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องทำ ส่วนหากเราไป “บิดแขน” ใครเข้า จะหมายถึง เรานั่นแหละที่ประสบความสำเร็จในการโน้มน้ามคนอื่นให้ทำสิ่งที่เราขอได้ เช่น

 

Tom: Jake you should really come to the party tonight!

ทอม: เจค นายควรจะมาปาร์ตี้คืนนี้ให้ได้

Jake: You know I can’t, I have to hit the books.

เจค: นายก็รู้นี่ว่าฉันไปไม่ได้ ฉันต้องท่องหนังสือ

Tom: C’mon, you have to come! It’s going to be so much fun and there are going to be lots of girls there. Please come.

ทอม: เอาน่า มันจะต้องสนุกมากๆ และยังมีสาวๆ เยอะแยะอีกด้วย มาด้วยกันเถอะน่า

Jake: Pretty girls? Oh all right, you’ve twisted my arm, I’ll come!

เจค: สาวน่ารักๆ เหรอ โอเค นายนี่มันโน้มน้าวเก่งจริงๆ ฉันจะไปละกัน!

 

3. (To be) Up in the air

ถ้ามีใครบอกเพื่อนๆ ว่า สิ่งต่างๆ นั้น up in the air จะมีความหมายว่า สิ่งนั้นไม่แน่นอน เช่น

 

A: Jen, have you set a date for the wedding yet?

เจน เธอได้กำหนดวันสำหรับงานแต่งงานหรือยัง

B: Not exactly, things are still up in the air and we’re not sure if our families can make it on the day we wanted. Hopefully we’ll know soon and we’ll let you know as soon as possible.”

ยังเลย หลายอย่างยังไม่แน่นอนน่ะ และเรายังไม่แน่ใจว่าครอบครัวจะมาในวันที่เราต้องการได้หรือเปล่า หวังว่าพวกเราจะรู้เร็วๆ นี้ แล้วเราจะบอกเธอให้เร็วที่สุดนะจ๊ะ

 

4. (To) Go cold turkey

ไม่ใช่ไก่งวงเย็นที่ไหน แต่สำนวนนี้หมายถึง การเลิกหรือหยุดพฤติกรรมเสพติดบางสิ่งที่ไม่ดีแบบกะทันหัน เช่น เลิกบุหรี่ เลิกดื่มแอลกอฮอล์ เช่น

 

A: A few months ago, my mother announced one day she’s quitting drinking wine.

2-3 เดือนที่แล้ว แม่ของฉันประกาศขึ้นมาวันหนึ่งว่า เธอกำลังเลิกดื่มไวน์

B: She just quit cold turkey?

อยู่ๆ เธอก็เลิกกะทันหันเลยเหรอ?

A: Yes, just like that!

ใช่ อะไรทำนองนั้นแหละ!

 

5. (To) Sit tight

ถ้ามีคนบอกคุณว่า ให้ sit tight หมายถึงว่าให้รอคอยอย่างอดทน เช่น

 

A: Do you have any idea when the exam results are going to come out?

นายรู้มั้ย ว่าผลสอบจะออกหรือยัง

B: Who knows, sometimes they come out quickly but it could take some time. You’re just going to have to sit tight and wait.

ใครจะรู้ล่ะ บางทีมันก็ออกเร็ว แต่บางทีก็ต้องใช้เวลา นายแค่ต้องอดทนและรอเท่านั้นเอง

 

6. (To) Face the music

ไม่ใช่การที่หน้าเรากลายเป็นเสียงเพลง หรือเผชิญกับเสียงเพลงอะไร แต่สำนวนนี้หมายถึง เผชิญหน้าความจริง และรับผลที่จะเกิดไม่ว่าร้ายหรือดี เช่น

 

A: I can’t understand why I failed math.

ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงตกเลข

B: You know you didn’t study hard, so you’re going to have to face the music and take the class again next semester.

เธอก็รู้นี่ว่าเธอไม่ต้องใจเรียนพอ ดังนั้นเธอต้องยอมรับความจริงและลงเรียนอีกครั้งในเทอมหน้าจะดีกว่า

 

7. (To) Ring a bell

สำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า การสั่นกระดิ่ง แต่หมายถึง สิ่งนั้นฟังดูคุ้นๆ เช่นเราอาจเคยได้ยินมาก่อนนั่นเอง

 

A: You’ve met my friend Amy Adams, right?

เธอเคยเจอกับเพื่อนของฉันที่ชื่อ เอมี่ อดัมส์ ใช่ไหม

B: Hmmm, I’m not sure, but that name rings a bell. Was she the one who went to Paris last year?

อืมมมม ไม่แน่ใจ แต่ว่าชื่อนั้นฟังดูคุ้นๆ จัง ใช่คนที่เคยไปปารีสปีที่แล้วหรือเปล่า?

 

8. (To be) Under the weather

สำนวนนี้ไม่ได้หมายถึง เรายืนใต้อากาศร้อน ฝน หนาวอะไร แต่หมายถึง รู้สึกไม่ปกติหรือไม่ค่อยสบาย แต่ไม่ถึงขั้นรุนแรง เช่นอาจจะปวดหัวหรือเหนื่อยมากๆ นั่นเอง

 

A: What’s wrong with Katy, mom?

เคที่เป็นอะไรเหรอคะแม่

B: She’s feeling a little under the weather so be quiet and let her rest.

เธอไม่ค่อยสบายนิดหน่อยจ้ะ ดังนั้นอยู่เงียบๆ และปล่อยให้เธอได้พักนะ

 

9. (To) Find your feet

ไม่ต้องตามหาเท้าที่ไหน เพราะสำนวนนี้ไม่ได้หมายถึงเท้าเราหายไปจนต้องตามหา แต่หมายถึง การทำตัวเองให้คุ้ยเคยกับสิ่งใหม่ๆ หรือการตามหาตัวของเราในสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมใหม่ๆ นั่นเอง เช่น

 

A: Lee, how’s your son doing in America?

ลี ลูกชายของนายเป็นยังไงบ้างที่อเมริกา

B: He’s doing okay. He’s learned where the college is but is still finding his feet with everything else. I guess it’ll take time for him to get used to it all.

เขาโอเคนะ เขารู้แล้วว่ามหาวิทยาลัยอยู่ที่ไหน แต่กำลังปรับตัวกับสิ่งอื่นๆ อยู่ ฉันเดาว่าเขาอาจต้องใช้เวลาเพื่อทำความคุ้นเคยสิ่งต่างๆ ทั้งหมดอยู่เหมือนกัน

 

10. (To) Get over something

ตามปกติ get over มีหลายความหมาย ซึ่งความหมายตรงๆ ตัวก็คือ การข้ามสิ่งกีดขวางต่างๆ แต่หากเป็นสำนวนจะความหมายว่า การตัดใจได้หรือทำใจได้ หรือหมายถึง การก้าวข้ามเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้แล้วนั่นเอง เช่น

 

A: How’s Paula? Has she gotten over the death of her dog yet?

พอลล่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอทำใจเรื่องหมาที่ตายของเธอได้หรือยัง?

B: I think so. She’s already talking about getting a new one.

ฉันคิดว่าทำใจได้แล้วนะ เห็นเธอพูดว่าจะหาตัวใหม่มาเลี้ยงล่ะ

 

ลองนำไปใช้กันดูนะคะ รับรองว่าต้องทำให้ดูใกล้เคียงเจ้าของภาษา จนเพื่อนต่างชาติประทับใจอย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก http://www.fluentu.com/english/blog/essential-english-idioms/