Engoo บล็อก เรียนภาษาอังกฤษ

Passive Voice: วิธีการใช้ และ เมื่อไหร่ที่ควรใช้

Passive Voice: วิธีการใช้ และ เมื่อไหร่ที่ควรใช้

ส่วนใหญ่เวลาพูดภาษาอังกฤษ เรามักจะใช้ Active Voice หรือ ประโยคที่มีประธานเป็นผู้กระทำ ซึ่งในสถานการณ์ส่วนใหญ่ประโยครูปแบบนี้มักจะฟังดูเป็นธรรมชาติมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ในบางกรณี Passive Voice หรือ ประโยคที่มีประธานเป็นผู้ถูกกระทำ ก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าในการสื่อสาร

บทความในสัปดาห์นี้ Engoo จะมาอธิบายความแตกต่างของประโยคทั้ง 2 แบบ และแนะนำเคล็ดลับในการใช้ Passive Voice ให้ฟังดูเป็นธรรมชาติ

Passive Voice คืออะไร

ก่อนที่จะพูดถึงประโยค Passive Voice เราจะมาทำความรู้จักกับการประโยคพื้นฐานอย่างประโยค Active Voice กันก่อน

ประโยคที่อยู่ในรูป Active Voice มีความตรงไปตรงมาและชัดเจนมากกว่า ทำให้เราใช้งานและทำความเข้าใจได้ง่ายกว่า 

โดยโครงสร้างของประโยคจะอยู่ในรูปแบบ ประธาน-กริยา-กรรม (Subject-Verb-Object หรือ SVO) 

ตัวอย่าง:

  • Tom closed the door.
    ทอมปิดประตู

ในที่นี้ Tom เป็นประธานของประโยค closed เป็นกริยา ส่วน the door เป็นกรรม

สำหรับประโยค Passive Voice โครงสร้างประโยคจะอยู่ในรูปแบบ กรรม-กริยา-ประธาน (Object-Verb-Subject: OVS) 

และนี่คือประโยคเดียวกันกับประโยคก่อนหน้า แต่เขียนในรูปแบบ Passive Voice:

  • The door was closed by Tom.
    ประตูถูกปิดโดยทอม

เมื่อใช้โครงสร้างประโยคแบบนี้ ใจความของข้อความจะเน้นไปที่การกระทำมากกว่าตัวผู้กระทำ

คุณอาจมองว่าตัวอย่างที่ 2 ฟังดูแปลก ๆ นั่นเป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่มักจะใช้ประโยคแบบ Active Voice กันมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นประโยคแบบ Passive Voice ก็ยังมีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อการสื่อสารในหลาย ๆ สถานการณ์

เราจะสร้างประโยค Passive Voice ได้อย่างไร

ในการสร้างประโยค Passive Voice คุณสามารถใช้หลักดังต่อไปนี้

กรรม + V. to be + V.3

ตัวอย่าง:

และหากคุณต้องการบอกว่า ใคร หรือ สิ่งใด เป็นผู้กระทำกริยาดังกล่าว ก็ให้เติม “by + ผู้กระทำ” เอาไว้ท้ายประโยค 

ตัวอย่าง

  • The pizza was eaten by Alex.
    พิซซ่าถูกอเล็กซ์กินไปแล้ว
  • The taxes were paid by the company.
    ภาษีได้รับการชำระโดยบริษัท

ทำไมเราถึงต้องใช้ Passive Voice

ก่อนหน้านี้เราได้อธิบายคร่าว ๆ ถึงโครงสร้างประโยคกันไปแล้ว ต่อไปเราจะพาทุกคนมาสำรวจสถานการณ์ที่ต้องใช้ประโยค Passive Voice กัน 

สถานการณ์ที่ควรใช้ Passive Voice:

  1. สถานการณ์ที่เราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กระทำการ
  2. สถานการณ์ที่ผู้กระทำการไม่มีความสำคัญ
  3. สถานการณ์ที่ต้องการซ่อนไม่ให้รู้ว่าผู้กระทำการคือใคร

ลองสังเกตตัวอย่างดังต่อไปนี้

  • The house was built 15 years ago.
    บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อน
  • The organization was founded (by Tim) to help the local community.
    องค์กรนี้ถูกก่อตั้งขึ้น (โดยทิม) เพื่อช่วยเหลือชุมชนในท้องถิ่น
  • The package was delivered this morning.
    พัสดุถูกจัดส่งเมื่อเช้านี้ 

จะเห็นได้ว่าในตัวอย่างแต่ละข้อนั้น ผู้พูดไม่ทราบว่าผู้กระทำการคือใคร หรือผู้กระทำการนั้นไม่ใช่ใจความสำคัญของข้อความที่ต้องการสื่อ ด้วยเหตุนี้ตัวอย่างข้างต้นจึงเหมาะแก่การสื่อสารด้วยรูปประโยคแบบ Passive Voice อย่างมาก

แน่นอนว่าเราสามารถแปลงประโยคตัวอย่างกลับเป็น Active Voice ได้ เช่น

แต่ประโยคที่ได้จะฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ หรือ จุดโฟกัสของประโยคจะเปลี่ยนแปลงไป

ดังนั้น หากเราไม่ทราบว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นโดยใคร หรือต้องการเน้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ตัวผู้กระทำ การใช้ประโยคแบบ Passive Voice ก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

การสื่อสารโดยจงใจไม่บอกว่าผู้กระทำคือใคร 

ในบางสถานการณ์ การเจาะจงว่าใครเป็นผู้กระทำสิ่งนั้น ๆ ก็อาจทำให้สารที่สื่อออกมาฟังดูเหมือนเป็นการตำหนิหรือกล่าวโทษบุคคลที่เรากล่าวถึง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น หลาย ๆ คนจึงมักจะเลือกใช้ Passive Voice และไม่อ้างถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างชัดเจนในประโยค (แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นตัวผู้พูดเองก็ตาม)

ในตัวอย่างเหล่านี้ ประโยค Passive Voice ถูกใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวโทษบุคคลที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้น ๆ ด้วยการละไม่กล่าวถึงประธานในประโยค

สรุป

แม้ว่าประโยคแบบ Active Voice จะเป็นประโยคที่เหมาะแก่การใช้งานมากกว่าในหลายสถานการณ์ แต่บางครั้งประโยค Passive Voice ก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ขอเพียงฝึกฝนจนเลือกใช้รูปประโยคทั้ง 2 แบบได้อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ คุณก็จะสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนและใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งขึ้น

สำหรับสัปดาห์หน้าจะเป็นบทความเกี่ยวกับอะไร อย่าลืมติดตามได้ที่ Engoo Blog นะคะ