Engoo บล็อก Engoo Thailand

TOEFL และ IELTS ต่างกันยังไง แล้วควรเลือกสอบอะไรดี?

TOEFL และ IELTS ต่างกันยังไง แล้วควรเลือกสอบอะไรดี?

การสอบ TOEFL หรือ IELTS ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการสอบที่ค่อนข้างสูง ทำให้คุณควรเลือกให้ดีก่อนว่าจะใช้คะแนนใดในการยื่นสมัครเรียน โดยเมื่อมองแวบแรก TOEFL หรือ IELTS ก็ดูคล้ายๆ กัน

  • โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ให้ยื่นคะแนน TOEFL หรือ IELTS ก็ได้
  • ทั้งสองข้อสอบใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเหมือนกัน
  • ข้อสอบทั้งสองนี้มีการวัดระดับทักษะที่เหมือนกัน ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน เขียน
  • ค่าธรรมเนียมในการสอบก็พอๆ กัน (ประมาณ 6,000 บาท)

ถึงแม้ทั้ง TOEFL และ IELTS จะดูคล้ายกัน แต่จริงๆ ก็มีความแตกต่างกันอยู่มาก ถ้าคุณเลือกสอบถูกก็จะสามารถแสดงจุดแข็งในทักษะภาษาอังกฤษของคุณออกมาได้มากกว่าเลยล่ะ 

มาทำความเข้าใจความแตกต่างของทั้ง TOEFL และ IELTS เพื่อช่วยให้คุณเลือกสอบข้อสอบที่ตรงกับคุณกันเลย

1. ประเภทของภาษาอังกฤษที่คุณถนัด

หลายคนอาจจะพอทราบมาแล้วว่า TOEFL นั้นใช้ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันเป็นหลัก ในขณะที่ IELTS ใช้ภาษาอังกฤษแบบอังกฤษเป็นหลัก

คุณสามารถฟังตัวอย่างข้อสอบ TOEFL ได้ที่นี่ และข้อสอบ IELTS ที่นี่ เพื่อพิจารณาว่าคุณชอบข้อสอบใดมากกว่ากัน

อย่างไรก็ตามทั้งข้อสอบ TOEFL และ IELTS ต้องจ้างนักพากย์ที่พูดได้ชัดเจนและออกเสียงได้มาตรฐาน ซึ่งจะไม่เป็นอุปสรรคในการฟังเลย เว้นเสียแต่ว่าคุณต้องพัฒนาทักษะการฟังให้มากขึ้นเพื่อให้สามารถเข้าใจเรื่องราวได้มากขึ้นนั่นเอง

หากคุณต้องการฝึกฝนเพิ่มเติม พี่ฮูกแนะนำให้คุณลงเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวกับครูเจ้าของภาษาไปเลย เพื่อความรวดเร็วที่คุณจะสามารถซึมซับการใช้ภาษาอังกฤษแบบเจ้าของภาษา คอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ตัวต่อตัว Engoo ก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่ผู้เรียนทั่วทั้งเอเชียเลือกเรียน

2. สอบพูดกับบุคคลจริง หรือ คอมพิวเตอร์

ความแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสอบการพูดของ IELTS เป็นการสอบแบบตัวต่อตัวกับบุคคลจริง ในขณะที่การสอบ TOEFL คุณจะทำการสอบพูดกับคอมพิวเตอร์

ในฐานะที่พี่ฮูกเคยได้รับฟีดแบ็คมากมายจากผู้เรียน Engoo ว่าการสอบตัวต่อตัวกับบุคคลจริงนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน ทำให้ผู้เรียนเกิดความประหม่า

พี่ฮูกแนะนำว่า หากคุณเป็นคนที่สามารถพูดคุยได้กับคนหลากหลายประเภท การสอบแบบตัวต่อตัวนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวสำหรับคุณ

แต่ถ้าหากคุณคิดว่าการสอบกับบุคคลจริงจะมีผลทำให้คุณประหม่า คุณก็ควรเลือกสอบ TOEFL มากกว่า ซึ่งคุณจะได้สอบกับคอมพิวเตอร์

3. ข้อสอบแบบกระดาษ หรือ คอมพิวเตอร์

นักเรียนบางคนชอบที่ IELTS มีตัวเลือกกระดาษสำหรับการทดสอบในขณะที่ TOEFL เป็นแบบคอมพิวเตอร์* ดังนั้นหากคุณรู้สึกสบายใจในการเขียนมากกว่าการพิมพ์ IELTS เวอร์ชันกระดาษก็เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า

อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้เสมอว่าหากการศึกษาในอนาคตของคุณต้องใช้การพิมพ์ภาษาอังกฤษเป็นจำนวนมาก คุณอาจต้องการเริ่มฝึกฝนกับ TOEFL

แน่นอนว่าการตรวจข้อสอบแบบคอมพิวเตอร์นั้นมีความรวดเร็วกว่าการตรวจข้อสอบแบบกระดาษ นี่คือระยะเวลาที่คุณจะได้รับคะแนนสอบของคุณ

IELTS แบบคอมพิวเตอร์ : 3-5 วันหลังจากการทดสอบ

IELTS แบบกระดาษ : 13 วัน

TOEFL : 6 วัน

*TOEFL มีเวอร์ชันกระดาษเช่นกัน โดยจะไม่มีส่วนการสอบพูดและให้บริการเฉพาะในพื้นที่ที่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างจำกัด

4. เนื้อหา

ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่าง TOEFL และ IELTS คือเนื้อหา โดย TOEFL เป็นวิชาการมากกว่า IELTS

ผู้อำนวยการบริหารของ TOEFL อธิบายว่า “เนื้อหาของ TOEFL 100% มาจากตำราของมหาวิทยาลัย”

นอกจากนี้ จากการศึกษาข้อสอบ TOEFL และ IELTS กว่า 90 รายการในปี 2018 พบว่าส่วนการอ่าน TOEFL มีเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์โดยเฉลี่ยมากกว่าข้อสอบ IELTS ถึงสองเท่า (การวิจัยพบว่าผู้คนมักจะพบว่าการอ่านทางวิทยาศาสตร์ยากกว่าการอ่านด้านศิลปะและมนุษยศาสตร์)

ส่วนการฟัง TOEFL ยังมีการสนทนาและการบรรยาย โดยคุณจะต้องจดบันทึกขณะฟัง เพื่อตอบคำถามหลังจากฟังจบแล้ว

ในทางกลับกัน IELTS มีเนื้อหาการอ่านและการฟังที่ผู้เรียนส่วนใหญ่คุ้นเคย เช่น บทความในนิตยสารและบทสนทนาในชีวิตประจำวัน

แม้ว่า TOEFL อาจเตรียมคุณให้พร้อมสำหรับการสอบปากเปล่าหรือการอภิปรายในชั้นเรียนมากกว่า แต่การสอบพูดของ IELTS มีโครงสร้างเหมือนการสนทนามากกว่า ผู้สอบจะถามคำถามเกี่ยวกับตัวคุณก่อน จากนั้นจึงถามเกี่ยวกับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง และสุดท้าย พวกเขาจะให้คุณอภิปรายหัวข้อในลักษณะทั่วไปหรือละเอียดขึ้น

คุณสามารถดูว่าการทดสอบการพูดเป็นอย่างไรจากเอกสารการพูด IELTS และ TOEFL ของ Engoo ซึ่งเป็นบทเรียนลิขสิทธิ์แท้จากข้อสอบจริง

5. โจทย์

โจทย์ทำให้ข้อสอบ TOEFL ดูง่ายกว่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบปรนัย หากเป็นส่วนของการอ่าน โจทย์จะระบุคำถามให้คุณอย่างชัดเจนเลย เช่น ตามวรรคหนึ่ง ปัญหาคืออะไร?

โจทย์คำถาม TOEFL เป็นแบบต่อเนื่อง เขาจะถามคุณเกี่ยวกับวรรคหนึ่งก่อน ตามด้วยวรรคสอง และอื่นๆ

ในทางกลับกัน โจทย์ของ IELTS นั้นมีความหลากหลายมากกว่า เช่น ปรนัย, อัตนัย, จริง/เท็จ, จับคู่, เติมคำในช่องว่าง เป็นต้น

สำหรับคำถามปลายเปิด คุณควรเช็กให้แน่ใจว่าคุณเขียนคำตอบได้อย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ มิเช่นนั้นก็จะถูกหักคะแนน

ในส่วนการเขียน IELTS จะขอให้คุณวิเคราะห์ ตีความไดอะแกรม และผังงาน หากคุณไม่มั่นใจในทักษะการวิเคราะห์ของคุณ ข้อสอบ IELTS ก็อาจจะยากไปหน่อย

สรุปแล้ว TOEFL หรือ IELTS เลือกสอบอะไรดี? 

หลังจากอ่านข้อมูลทั้งหมดแต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะสอบอะไรดี เช็กลิสต์นี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

  • ฉันมีปัญหาในการเข้าใจภาษาอังกฤษแบบอเมริกาเหนือ
  • ฉันชอบการทดสอบกระดาษมากกว่าการทดสอบทางคอมพิวเตอร์ (และสามารถทำการทดสอบกระดาษได้อย่างน้อยสองสัปดาห์ก่อนถึงกำหนดส่งใบสมัครของฉัน)
  • ฉันชอบการทดสอบการพูดแบบตัวต่อตัวมากกว่า
  • ฉันชอบที่จะทดสอบภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันมากกว่าภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ
  • ฉันมีปัญหาในการทำความเข้าใจเนื้อหาเชิงวิทยาศาสตร์
  • ฉันพอใจกับการทดสอบที่มีคำถามหลายประเภท (เช่น ไม่ใช่แค่ปรนัย)
  • ฉันมักจะทำงานกับกราฟ ตาราง ไดอะแกรม และแผนภูมิ

หากคุณเช็กได้ 5 ข้อขึ้นไป คุณควรพิจารณาเลือกสอบ IELTS มากกว่า TOEFL